ปี 2555 ที่ใกล้ผันผ่าน ถือเป็นอีกปีที่ยากลำบากสำหรับยูโรโซน แต่ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรก็สามารถรอดพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้ พร้อมกับปิดฉากปีอย่างแข็งแกร่งหลังจาก 17 ชาติทำข้อตกลงจัดหาเงินทุนโอบอุ้มกรีซ อันทำให้กรีซสามารถอยู่ในยูโรโซนต่อไปได้ แต่กรีซก็ ต้องแลกเปลี่ยนด้วยการรัดเข็มขัด ปฏิรูปเศรษฐกิจ และจัดทำงบประมาณเข้มงวด เพื่อลดภาระหนี้มหาศาลให้เหลือ 124% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ภายในปี 2563 จากนั้น ความคืบหน้าไปสู่การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและการเงินในยูโรโซน รวมถึงก้าวแรกไปสู่การจัดทำระบบดูแลภาคธนาคารร่วมกัน ก็ทำให้ยุโรปอยู่ในสภาพที่น่าจะดีกว่าเมื่อช่วงต้นปี "ผู้สังเกตการณ์จำนวนมากรู้สึกว่ากรีซคง รับไม่ไหว แต่ช่วงปลายปีสถานการณ์ก็พิสูจน์ว่าคนเหล่านี้คิดผิด" นายออลลิ เรห์น กรรมาธิการเศรษฐกิจสหภาพยุโรป (อียู) ระบุ ขณะที่นางเจนิส เอมมานูลิดิส แห่งศูนย์นโยบายยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมอง กล่าวว่าขณะนี้ความเป็นไปได้ที่สมาชิกชาติใดชาติหนึ่งจะออกจากยูโรโซน หมดสิ้นไปแล้ว สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ สะท้อนภาพรวมที่เปลี่ยนไป ด้วยการปรับเพิ่มอันดับตราสารหนี้ของกรีซถึง 6 ขั้น เพราะ "เจตนารมย์อันแน่วแน่ของสมาชิกยูโรโซนในการดึงกรีซไว้เป็นสมาชิก" นายมาริโอ ดรากี ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ระบุเมื่อเดือนก.ย.ว่าอีซีบีจะซื้อตราสารหนี้ของสมาชิกยูโรโซนทุก ชาติอย่างไม่จำกัด เพื่อพยุงตลาดการเงิน โดยคำสัญญา "ข้อตกลงการเงินอย่างสมบูรณ์" หมายความว่าตลาดไม่สามารถเก็งกำไรทางเดียวต่อสมาชิกชาติใดชาติหนึ่งได้ เพราะอีซีบีจะก้าวเข้ามาสนับสนุนชาตินั้น การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้ต้นทุนกู้ยืมลดฮวบลงทันที โดยเฉพาะสำหรับสเปนและอิตาลี ซึ่งถูกมองว่าจะต้องขอความช่วยเหลือเป็นรายต่อไป ตามหลังกรีซ ไอร์แลนด์ กับโปรตุเกส โดยมาตรการนี้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินกู้วงเงินมากถึง 100,000 ล้านยูโรสำหรับธนาคารสเปน ทำให้รัฐบาลสามารถประคองสถานการณ์ต่อไปได้ พอล่วงถึงช่วงปลายปีจึงแทบไม่มีคนพูดถึงสเปนว่าจะเป็นประเทศต่อไปที่เผชิญ วิกฤติหนี้ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนระบุว่าไม่ควรดีใจว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายขึ้นในอนาคต เพราะแนวโน้มสำหรับ 2 ปีข้างหน้าอาจไม่ค่อยมั่นคง อีกทั้งยังมีเรื่องน่าวิตกเกี่ยวกับการบังคับใช้หน่วยงานกำกับดูแลภาคธนาคาร นอกจากนั้น ความไม่แน่นอนสำหรับปีหน้าคือการเมือง เพราะจะมีการเลือกตั้งในอิตาลีและเยอรมนี ส่วนสถานการณ์ในกรีซก็ยังถือว่าหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่ อีกทั้งแนวโน้มทางเศรษฐกิจก็ยังไม่สดใส เพราะยูโรโซนอยู่ในภาวะถดถอย และคาดว่าจะชะลอตัวลงอีก ขณะที่อัตราว่างงานสูงเป็นประวัติการณ์ 11.7% และพุ่งสูงถึง 25% ในสเปนกับกรีซ นอกจากยุโรปแล้ว กระแสของปีหน้ายังมีเรื่องของค่าเงิน ที่นายเมอร์วิน คิง ผู้ว่าการธนาคารอังกฤษ ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นว่าปีหน้าอาจเป็นปีที่ท้าทาย ซึ่งจะเห็นประเทศจำนวนหนึ่งพยายามดึงค่าเงินให้ลดลง เพื่อรักษาความได้เปรียบทางการค้า ทั้งนี้ นับจากเกิดวิกฤติการเงินในสหรัฐ หลายประเทศรวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ อิสราเอล และเกาหลีใต้ ได้เพิ่มความพยายามป้องกันสกุลเงินตัวเองแข็งค่าเกินไป เพราะวิตกเกี่ยวกับขีดแข่งขันของสินค้าส่งออก นอกจากนั้น ผู้กำหนดนโยบายออสเตรเลียยังถูกกดดันมากขึ้นให้ปรามการแข็งค่าของดอลลาร์ ออสเตรเลีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุว่าทุนสำรองสกุลเงินต่างประเทศของธนาคาร กลางประเทศต่างๆ เพิ่มเป็น 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในกลางปีนี้ จาก 6.7 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปี 2550 หรือเพิ่มขึ้น 57% ในเวลาไม่ถึง 5 ปี อันเป็นสัญญานว่าธนาคารกลางต่างๆ กักตุนเงินสกุลอื่นไว้มากแค่ไหน เพื่อป้องกันสกุลเงินตัวเองไม่ให้แข็งค่ามากเกินหลังจากเกิดวิกฤติการเงินปี 2551 ในส่วนของสหรัฐนั้น ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าอยากให้ดอลลาร์อ่อนค่า แต่ผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐก็กดดันค่าดอลลาร์ โดยเฉพาะโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือคิวอี ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเฟดพิมพ์เงินดอลลาร์มาซื้อพันธบัตรรัฐบาล และส่งผลข้างเคียงในรูปของการดึงค่าเงินดอลลาร์ให้ลดลง เพราะมีเงินดอลลาร์ในตลาดโลกมากขึ้น ดัชนีทุนสำรองกลางระบุว่าค่าเงินดอลลาร์ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักตั้งแต่ต้น ปี 2551 เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 23% เมื่อเทียบกับสกุลอื่น นอกจากนโยบายดอกเบี้ยต่ำและคิวอีอย่างที่เฟด อันเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินลดลงแล้ว มาตรการอีกอย่างหนึ่งคือการเข้าแทรกแซงซึ่งธนาคารกลางขายเงินสกุลตัวเองและ ซื้อเงินสกุลอื่น อย่างเมื่อเดือนพ.ยง ที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ขายเงินวอนอย่างน้อย 1,000 ล้านดอลลาร์ในตลาดเงิน เพื่อสกัดการแข็งค่าของเงินวอน หากดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา การเข้าแทรกแซงค่าเงินมีผลกระทบจำกัด ปีนี้ญี่ปุ่นได้เข้าแทรกแซงค่าเงินเช่นกัน นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่น ระบุในการให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนพ.ย.ว่ามาตรการนี้แทบไม่ได้ผล เขาจึงกดดันธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ให้ดำเนินการรุกกร้าว รวมถึง "การผ่อนคลายอย่างไม่จำกัด" เพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดและดึงเงินเยนให้อ่อนค่า นายเอดวิน ทรูแมน นักเศรษฐศาสตร์แห่งสถาบันปีเตอร์สัน เตือนว่าหากตอบโต้กันทางการเงินมากเกินไป อาจสร้างผลเสียได้ "หากคุณปล่อยให้ค่าเงินอ่อนลงมากไป ก็เท่ากับเป็นการเชื้อเชิญให้เกิดสงครามการค้าด้วย" นายทรูแมนระบุ สงครามการค้า ซึ่งประเทศต่างๆ จำกัดการนำเข้าจากประเทศอื่น เป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งในนโยบายยุคเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนักช่วงทศวรรษ 30 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจโลกซบเซา นายทรูแมนวิตกมากขึ้นว่าความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจเกี่ยวกับค่าเงิน ลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากแนวโน้มยังดำเนินไปเช่นนี้ "คุณจะขยับจากโลกที่มีความร่วมมือในวงกว้างในประเด็นการเงิน ไปยังโลกซึ่งทุกคนทำเพื่อตัวเอง" บีโอเจระบุว่าจะพิจารณาการกำหนดเป้าหมายราคาสินค้าในการประชุมเดือน ม.ค.ปีหน้า พร้อมเผยแผนให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์ แลกเปลี่ยนกับการที่ให้ธนาคารเหล่านี้ปล่อยกู้มากขึ้น การที่บีโอเจค่อนข้างพูดอย่างเต็มปากว่านโยบายของตัวเอง อาจดึงให้เงินเยนอ่อนค่า ทำให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างนายโอซามุ ทาคาชิมา หัวหน้านักยุทธศาสตร์อัตราแลกเปลี่ยนแห่งซิตีแบงก์ เตือนว่าการผ่อนคลายทางการคลังไม่ใช่ปัญหา แต่หากส่งผลต่อเนื่องให้ค่าเงินอ่อนค่า ก็จะถูกมองทำนองไม่ดีในสายตาชาติอื่น อย่างไรก็ตาม นายอาเบะและสมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) คนอื่น ดูเหมือนชื่นชอบกับแนวทางให้เงินเยนอ่อนค่าพอประมาณ นายชิเกรุ อิชิบะ แกนนำพรรคแอลดีพี กล่าวว่าพิจารณาจากโครงสร้างทางอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นแล้ว ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การให้เงินเยนแข็งค่าลงมากๆ และต้องคิดเรื่องการรักษาค่าเงินเยนให้อยู่ที่ระดับประมาณ 85-90 เยนต่อดอลลาร์ นายยูจิ ไวโตะ ผู้อำนวยการฝ่ายอัตราแลกเปลี่ยนแห่งเครดิตอากริโกล กล่าวว่าคณะของนายอาเบะกำลังส่งสารที่ชาญฉลาดว่าต้องการแค่แก้ไขการแข็งค่า ของเงินเยน ไม่ใช่เพื่อให้เงินเยนอ่อนค่า และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 85-90 เยนน่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายรวมถึงผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และธนาคาร รวมถึงคู่ค้าอย่างเกาหลีใต้กับสหรัฐ