กระทรวงพาณิชย์สหรัฐคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.1 ในช่วงไตรมาส 4 เมื่อปีที่แล้ว ขณะที่รัฐบาลตัดงบด้านกลาโหมและภาคธุรกิจลดการลงทุนในช่วงที่มีกระแสวิตก ภาวะหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ หากข้อมูลถูกต้อง นี่จะเป็นการหดตัวลงครั้งแรกของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นับตั้งแต่เกิดภาวะถดถอยทั่วโลกเมื่อปี 2009 ขณะที่ไตรมาสเดือนกรกฎาคม-กันยายนปีที่แล้ว เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขยายตัว 3.1% เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ได้รับผลกระทบจากภาวะหน้าผาการคลัง หรือมาตรการลดค่าใช้จ่ายและขึ้นภาษี ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม และได้รับการแก้ไขจากข้อตกลงในนาทีสุดท้ายระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาว นักวิเคราะห์กล่าวว่า รัฐบาลทุกภาคส่วนควบคุมค่าใช้จ่ายในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ทำให้เกิดภาวะชะลอตัว แต่การหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีขนานใหญ่ของหน้าผาการคลังก่อนถึงวันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในไตรมาสนี้โดยเฉพาะ ในการลงทุนภาคธุรกิจ ด้านนักเศรษฐศาสตร์ไม่วิตกต่อภาวะเศรษฐกิจหดตัวมากนักขณะที่ยังมีสัญญาณ อื่นๆ บ่งชี้ในทางฟื้นตัวขึ้น การประกาศครั้งนี้ สร้างความตกตะลึงต่อนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเติบโตขึ้น 1.1% ตามผลโพลของสำนักข่าวรอยเตอร์ และจากการสำรวจ ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนใดคาดการณ์ผลดังกล่าว การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถูดฉุดจากการตัดงบประมาณ 22% จากรัฐบาลกลางในด้านกลาโหม ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1972 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามเวียดนาม การปรับตัวลงครั้งงนี้ ยังเพิ่มแรงกดดันให้แก่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ต้องดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการตลาดเปิดเตรียมประกาศข้อสรุปจากผลการประชุมการจัดหามาตรการใน ช่วงค่ำวันพุธตามเวลาท้องถิ่น